ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

มหาสารคามเป็นจังหวัดหนึ่งที่ได้ทำพิธี  ฝังหลักเมืองก่อนที่จะสร้างเมืองมหาสารคามตั้งแต่ต้น  ปรากฏตามพงศาวดารอีสานว่า  โปรดเกล้าฯ  ให้ตั้งขึ้นเมื่อปีฉลูสัปตศก จุลศักราช 1227 (พ.ศ.2408)  ในสมัยรัชกาลที่  4 โดยที่พระขัติยวงศา (จัน) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดมีใบบอกกราบบังคมทูลข้อตั้งบ้านลาดกุดนางใย (หรือนางใย)  เป็นเมืองมหาสารคาม  ให้ท้าวมหาชัย (กวด) บุตรอุปฮาด (สิงห์) เมืองร้อยเอ็ด เป็นพระเจริญราชเดชวรเชษฐขัติยพงศ์ เป็นเจ้าเมืองมหาสารคามคนแรก ให้ท้าวบัวทอง บุตรอุปฮาด (ภู) เป็นอัครฮาดให้ท้าวไชยวงศา (ฮึง) หลานพระขัติยวงศา (หนต์) เป็นอัครบุตรขึ้นเมืองร้อยเอ็ด

ท้าวมหาชัยและคณะ ได้นำใบบอกทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4  ปี พ.ศ. 2402  คณะที่ใบบอกทูลเกล้าฯ  ทั้งหมดต้องอยู่ศึกษาวิชาการปกครองที่กรุงเทพฯ  สมัยนั้นเรียกว่า “เรียนเมือง”  เป็นเวลานานถึง 6 ปี  จึงได้ซึมซับเอาวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ  ก่อนที่จะกลับมาสร้างเมือง

เมื่อกลับมาสร้างเมือง  ท้าวมหาชัยได้ตัดสินใจตั้งกองบัญชาการชั่วคราวอยู่ที่บริเวณเนินสูงแห่งหนึ่งแล้วสร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองขึ้น  ณ  บริเวณใกล้เคียงแห่งนี้  (ที่ตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมืองปัจจุบัน)  เนินสูงซึ่งเป็นกองบัญชาการชั่วคราวนั้นในภายหลังได้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง  เรียกชื่อว่า  วัดดอนเมือง แล้วเปลี่ยนชื่อว่าวัดข้าวฮ้าวและวัดธัญญาวาสตามลำดับ  กองบัญชาเมืองได้ถูกย้ายไปตั้งที่ริมหนองกระทุ่มด้านเหนือวัดโพธิ์ศรีแล้วจึงย้ายมาสู่ส่วนที่เป็นตลาดปัจจุบัน

ประเพณีการตั้งหลักเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนั้น  ไม่ใช่ประเพณี  ที่มาแต่เดิมในภาคอีสาน  แต่เป็นประเพณีที่ไปรับมาจากภาคกลางในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เองเฉพาะหลักเมืองของจังหวัดมหาสารคาม  ท้าวมหาชัย (กวด)  ได้รับเอาวัฒนธรรมจากกรุงเทพในขณะที่  “เรียนเมือง” ในกรุงเทพฯ นางถึง 6 ปี  แต่แรกที่ตั้งศาลหลักเมืองจะมีลักษณะเช่นใดไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน  สันนิษฐานว่าเมื่อก่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยังเป็นเพียงศาลไม้เก่า ๆ รอบๆ บริเวณศาลได้ปลูกดอกจำปาขาว (ดอกลั่นทม) ไว้หลายต้น ปัจจุบันยังคงมีเหลือยุบ้าง  ต้นดอกจำปาขาวยังคงปลูกไว้ให้คนเด็ดเอาไปบูชาไหว้พ่อหลักเมืองแต่ถ้าใครเด็ดเล่นเจ้าพ่อจะโกรธ  และลงโทษให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาจนกว่าจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบคารวะขอโทษ  เจ้าพ่อหลักเมืองจึงจะงดโทษให้ จากความเชื่อดังกล่าวทำให้ไม่มีใครกล้าเด็ดดอกจำปาขาวเล่นอีกตั้งแต่นั้นมา